วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

Part 5 : การรักษาสิวเชิงลึกและเทคโนโลยี

 


การรักษาสิวเชิงลึกและเทคโนโลยี: ทางเลือกทันสมัยเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การรักษาสิวเบื้องต้นอาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน โดยเฉพาะสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวที่เป็นเรื้อรัง ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์และหัตถการผิวหนังที่ช่วยรักษาสิวได้ตรงจุด บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีรักษาสิวเชิงลึก เช่น เลเซอร์ กดสิว ฉีดสิว ทรีตเมนต์ และยาควบคุมฮอร์โมน ว่าเหมาะกับใครบ้าง และมีข้อควรระวังอะไร


ทำไมบางคนต้องใช้การรักษาสิวเชิงลึก

แม้การดูแลผิวและการใช้ยาทาจะช่วยสิวได้ในระดับหนึ่ง แต่บางครั้งสิวยังกลับมาเป็นซ้ำ หรือมีลักษณะรุนแรง เช่น สิวซีสต์ สิวอักเสบลึก หรือสิวที่ทิ้งรอยชัดเจน การรักษาเชิงลึกจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อควบคุมปัญหาสิวในระยะยาว


1. การกดสิว (Comedone Extraction)

  • วิธีพื้นฐานที่คลินิกใช้เพื่อเอาสิวอุดตันออกอย่างปลอดภัย

  • ใช้เครื่องมือปลอดเชื้อและทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยแผลเป็น

  • เหมาะกับสิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวอุดตันที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา

👉 ข้อควรระวัง: ไม่ควรกดสิวเองที่บ้าน เพราะเสี่ยงติดเชื้อและทำให้เกิดรอยสิว


2. การฉีดสิว (Corticosteroid Injection)

  • ใช้สารสเตียรอยด์ปริมาณต่ำฉีดเข้าไปที่สิวอักเสบก้อนใหญ่

  • ช่วยให้สิวยุบลงเร็วภายใน 1-2 วัน

  • มักใช้กับสิวอักเสบรุนแรง สิวหัวช้าง หรือสิวที่มีงานด่วน/โอกาสสำคัญ

👉 ข้อควรระวัง: ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น หากใช้บ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวบุ๋มหรือเกิดรอยด่างได้


3. เลเซอร์รักษาสิวและสิวอักเสบ

เทคโนโลยีเลเซอร์มีหลายประเภท โดยแต่ละชนิดมีบทบาทแตกต่างกัน เช่น

  • เลเซอร์ลดสิวอักเสบ (Pulse Dye Laser, Nd:YAG): ลดการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย

  • เลเซอร์รักษาสิวอุดตัน: ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน

  • เลเซอร์ลดรอยสิว (Fractional Laser, CO₂ Laser): กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดหลุมสิวและรอยดำ

👉 ข้อดี: เห็นผลเร็ว ช่วยทั้งสิวและรอยสิวไปพร้อมกัน
👉 ข้อควรระวัง: ต้องทำต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ และผิวอาจไวต่อแสงแดดหลังทำ


4. IPL (Intense Pulsed Light)

  • ใช้แสงความเข้มสูงในการฆ่าเชื้อสิว ลดรอยแดงจากสิว

  • ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบระดับปานกลางและรอยแดงจากสิว


5. Chemical Peeling (กรดผลไม้)

  • ใช้สารเคมี เช่น AHA, BHA, TCA ในความเข้มข้นที่เหมาะสม

  • ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่

  • เหมาะสำหรับสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และรอยดำตื้น ๆ

👉 ข้อควรระวัง: ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ หากใช้ผิดวิธีอาจทำให้ผิวไหม้หรือระคายเคืองรุนแรง


6. การใช้ยาควบคุมฮอร์โมน

  • ผู้หญิงบางรายที่มีสิวฮอร์โมน อาจได้รับการรักษาด้วย ยาคุมกำเนิด เพื่อลดความผันผวนของฮอร์โมน

  • ยากลุ่ม Anti-androgen (เช่น Spironolactone) ใช้ลดการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจน

👉 วิธีนี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ และไม่เหมาะสำหรับทุกคน


7. Isotretinoin (Roaccutane) ในระดับควบคุม

  • ยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการทำงานของต่อมไขมัน

  • ใช้รักษาสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวที่ดื้อยา

  • ต้องติดตามผลเลือดและตรวจสุขภาพเป็นระยะ เพราะมีผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับ ไขมันในเลือด และอาจทำให้ผิวแห้งมาก


8. การทำทรีตเมนต์เสริมอื่น ๆ

  • Oxygen Treatment: เติมออกซิเจนเข้าสู่ผิว ลดเชื้อสิว

  • LED Light Therapy: ใช้แสงสีฟ้าเพื่อลดเชื้อสิว แสงสีแดงเพื่อลดการอักเสบ

  • Phonophoresis / Iontophoresis: ช่วยให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกขึ้น


9. ข้อควรระวังในการรักษาสิวเชิงลึก

  • ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรทำเอง

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัวหรือแพ้ง่าย

  • หลังการทำหัตถการ ควรใช้กันแดดและสกินแคร์อ่อนโยนเพื่อปกป้องผิว


สรุป: ทางเลือกใหม่เพื่อผิวที่ดีขึ้น

การรักษาสิวเชิงลึกและเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยให้คนที่มีสิวเรื้อรังหรือสิวอักเสบรุนแรงได้ผลลัพธ์เร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดแผลเป็น อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมควรขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผิวหนัง เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด


👉 ใน Part 6: รอยสิวและการฟื้นฟูผิว เราจะมาต่อกันเรื่องการแก้ปัญหารอยสิว รอยดำ รอยแดง และหลุมสิว รวมถึงวิธีการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568

Part 4 : การรักษาสิวเบื้องต้น: วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดสิวและป้องกันไม่ให้กลับมา

 


การรักษาสิวเบื้องต้น: วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดสิวและป้องกันไม่ให้กลับมา

สิวรักษาได้ไหม? วิธีรักษาสิวเบื้องต้นมีอะไรบ้าง หลายคนอาจกำลังหาคำตอบ บทความนี้จะอธิบายวิธีการรักษาสิวที่สามารถทำได้เองที่บ้าน ตั้งแต่การใช้ยาทาสิว การเลือกยารับประทานที่เหมาะสม การดูแลสิวอุดตัน สิวอักเสบ ตลอดจนสัญญาณที่บอกว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อให้คุณเข้าใจและจัดการสิวได้อย่างถูกวิธี


ทำไมต้องรู้จักการรักษาสิวเบื้องต้น

สิวเป็นภาวะที่รักษาได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นสิวอักเสบรุนแรงหรือทิ้งรอยสิวถาวร การรู้วิธี รักษาสิวเบื้องต้น จึงสำคัญ เพราะจะช่วยให้สิวลดลงเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิวใหม่


1. การดูแลสิวที่บ้าน

  • ล้างหน้าด้วยโฟมอ่อนโยน วันละ 2 ครั้ง

  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เพราะจะทำให้สิวอักเสบหนักขึ้น

  • ใช้เจลแต้มสิวเฉพาะจุด

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นสิว เช่น ของทอด น้ำตาลสูง


2. ยาทารักษาสิว (Topical Treatments)

ยาทารักษาสิวเป็นวิธีที่แพทย์และเภสัชกรมักแนะนำในระยะแรก โดยแบ่งได้หลายกลุ่ม เช่น

  • Benzoyl Peroxide (เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์): ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes ลดการอักเสบของสิว ใช้ได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ

  • Salicylic Acid (BHA): ช่วยละลายการอุดตัน ลดสิวหัวดำและสิวหัวขาว

  • Retinoids (Adapalene, Tretinoin): กระตุ้นการผลัดเซลล์ ลดการอุดตัน แต่ต้องใช้เวลาและอาจมีอาการผิวลอก

  • Clindamycin / Erythromycin (ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่): ลดเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกินไป เพราะเชื้ออาจดื้อยา

👉 ข้อควรระวัง: เริ่มจากความเข้มข้นต่ำ และทาเฉพาะตอนกลางคืนเพื่อลดการระคายเคือง


3. ยารับประทานรักษาสิว (Oral Medications)

บางกรณีสิวอักเสบรุนแรง การใช้ยาทาอย่างเดียวอาจไม่พอ แพทย์จึงอาจพิจารณาให้ยารับประทาน เช่น

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): เช่น Doxycycline, Minocycline ใช้เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

  • ยาคุมกำเนิด (สำหรับผู้หญิง): ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดสิวฮอร์โมน

  • Isotretinoin (Roaccutane): ใช้ในรายที่สิวรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แต่ต้องติดตามการทำงานของตับและผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด


4. การรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบ

  • สิวอุดตัน: ใช้ยาที่ช่วยผลัดเซลล์ เช่น Retinoids หรือ Salicylic Acid

  • สิวอักเสบ: ใช้ Benzoyl Peroxide, ยาปฏิชีวนะ หรือเจลแต้มสิวเฉพาะจุด

  • สิวหัวหนอง: อาจต้องให้แพทย์เจาะหรือกดสิวออกอย่างปลอดภัย ห้ามบีบเอง


5. การใช้ผลิตภัณฑ์เสริม (Over-the-counter)

นอกจากยาหลักแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมที่ช่วยลดสิว เช่น

  • เจลแต้มสิวที่มี Tea Tree Oil

  • ครีมลดรอยแดงจากสิวที่มี Niacinamide

  • แผ่นแปะสิว (Acne Patch) ที่ช่วยดูดซับหนองและป้องกันการสัมผัสสิว


6. เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ควรไปพบแพทย์เมื่อ…

  • สิวอักเสบมากจนปวดและบวม

  • สิวขึ้นต่อเนื่องแม้จะดูแลตัวเองแล้ว

  • เริ่มมีรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว

  • ต้องการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น Isotretinoin


7. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาสิว

  • “ยิ่งล้างหน้าบ่อย สิวยิ่งหาย” → จริง ๆ แล้วการล้างหน้าบ่อยเกินไปทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง สิวอาจหนักกว่าเดิม

  • “ไม่ควรทาครีมหรือมอยส์เจอไรเซอร์” → ผิวขาดความชุ่มชื้นจะยิ่งผลิตน้ำมันเพิ่ม → สิวอุดตันมากขึ้น

  • “บีบสิวออกไปเลย สิวจะได้หาย” → บีบสิวเองเสี่ยงติดเชื้อและทิ้งรอยแผลเป็น


สรุป: การรักษาสิวเริ่มต้นจากพื้นฐาน

การรักษาสิวเบื้องต้นไม่ซับซ้อน แต่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิว สิ่งสำคัญคือ ไม่ใจร้อน ไม่บีบสิวเอง และรู้จักขอความช่วยเหลือจากแพทย์เมื่อจำเป็น เพราะการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยให้สิวไม่ทิ้งรอยและผิวฟื้นกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น


👉 ใน Part 5: การรักษาสิวเชิงลึกและเทคโนโลยี เราจะมาดูกันต่อว่า เลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีบทบาทอย่างไรในการรักษาสิว

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

Part 3 : การดูแลผิวสำหรับคนเป็นสิว: เลือกสกินแคร์ให้ถูกวิธี ผิวแข็งแรง สิวลดลง

 




การดูแลผิวสำหรับคนเป็นสิว: เลือกสกินแคร์ให้ถูกวิธี ผิวแข็งแรง สิวลดลง

คนเป็นสิวมักกังวลว่าใช้สกินแคร์อะไรได้บ้าง ล้างหน้าบ่อยแค่ไหน หรือควรทากันแดดหรือไม่ บทความนี้จะอธิบายวิธีดูแลผิวสำหรับคนเป็นสิวอย่างละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนการทำความสะอาดผิว การเลือกสกินแคร์ การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ไปจนถึงความสำคัญของครีมกันแดด เพื่อช่วยให้สิวลดลงและป้องกันการเกิดสิวใหม่


ทำไมการดูแลผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเป็นสิว

สิวเกิดจากการอุดตันและการอักเสบในรูขุมขน การดูแลผิวที่ถูกต้องช่วยให้ ลดโอกาสเกิดสิวใหม่ และ ฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอ ไม่ให้สิวลุกลามหนักขึ้น แต่หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผิดหรือดูแลไม่เหมาะสม อาจทำให้สิวเห่อกว่าเดิมได้


1. การล้างหน้าสำหรับคนเป็นสิว

  • ควรล้างหน้า วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) และหลังออกกำลังกาย

  • เลือกใช้ โฟมล้างหน้าอ่อนโยน (Mild Cleanser) ปราศจากแอลกอฮอล์และซัลเฟตแรง ๆ

  • หลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ หรือใช้สครับบ่อยเกินไป เพราะทำให้ผิวระคายเคืองและสิวอักเสบมากขึ้น

  • เลือกโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมเช่น Salicylic Acid, Tea Tree Oil, Zinc ที่ช่วยลดการอุดตัน


2. โทนเนอร์และสกินแคร์เบื้องต้น

  • โทนเนอร์ (Toner): เลือกสูตรอ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์ อาจมีส่วนผสม BHA หรือ Witch Hazel ที่ช่วยกระชับรูขุมขน

  • เซรั่ม (Serum): ใช้เซรั่มที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน เช่น Niacinamide, Centella Asiatica (ใบบัวบก), Zinc PCA

  • เลี่ยงสกินแคร์ที่หนักหรือมันเกินไป เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตัน


3. มอยส์เจอไรเซอร์: สิวก็ยังต้องการความชุ่มชื้น

หลายคนเชื่อว่าผิวมันไม่ต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด การขาดความชุ่มชื้นทำให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มจนเกิดสิวอุดตันหนักกว่าเดิม

  • เลือก มอยส์เจอไรเซอร์สูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic

  • เน้นเนื้อบางเบา เช่น เจลครีม, โลชั่นที่ซึมง่าย

  • ส่วนผสมที่เหมาะกับคนเป็นสิว: Hyaluronic Acid, Aloe Vera, Panthenol


4. กันแดด: สิ่งที่คนเป็นสิวไม่ควรมองข้าม

ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญเพราะรังสี UV ทำให้สิวอักเสบและรอยสิวเข้มขึ้น หากไม่ปกป้องผิว รอยสิวจะจางช้าลง

  • เลือกครีมกันแดดที่มีคำว่า Non-comedogenic, Oil-free, Fragrance-free

  • เนื้อสัมผัสบางเบา เช่น กันแดดเนื้อเจลหรือฟลูอิด

  • ส่วนผสมที่เหมาะ: Zinc Oxide, Titanium Dioxide (กันแดดกายภาพที่ไม่อุดตันผิว)


5. การใช้ยารักษาสิวควบคู่

นอกจากสกินแคร์พื้นฐานแล้ว คนเป็นสิวควรมีการใช้ ยาทารักษาสิว ที่เหมาะสม เช่น

  • Benzoyl Peroxide: ลดเชื้อแบคทีเรียและสิวอักเสบ

  • Retinoids (เช่น Adapalene): ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดสิวอุดตัน

  • AHA / BHA: ลดการอุดตันรูขุมขน

แต่ควรเริ่มใช้ทีละตัวเพื่อป้องกันการระคายเคือง และควรปรึกษาแพทย์หากสิวรุนแรง


6. พฤติกรรมที่ช่วยให้สิวดีขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการจับหน้าและแกะสิว

  • เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าเช็ดหน้าบ่อย ๆ

  • ใช้คลีนซิ่งออยล์/บาล์มสำหรับล้างเมคอัพให้หมดจด

  • ดื่มน้ำมาก ๆ และนอนพักผ่อนเพียงพอ


7. Skincare Routine สำหรับคนเป็นสิว (ตัวอย่างง่าย ๆ)

ตอนเช้า:

  1. โฟมล้างหน้าอ่อนโยน

  2. โทนเนอร์ (ถ้าต้องการ)

  3. เซรั่มลดสิว/ลดการอักเสบ

  4. มอยส์เจอไรเซอร์บางเบา

  5. ครีมกันแดดสำหรับผิวเป็นสิว

ตอนเย็น:

  1. คลีนซิ่งทำความสะอาดเครื่องสำอาง/กันแดด

  2. โฟมล้างหน้า

  3. โทนเนอร์

  4. เซรั่ม/ยารักษาสิวเฉพาะจุด

  5. มอยส์เจอไรเซอร์


สรุป: คนเป็นสิวควรโฟกัสที่ “ความอ่อนโยน”

การดูแลผิวสำหรับคนเป็นสิวไม่ใช่การใช้ผลิตภัณฑ์เยอะ ๆ แต่คือการเลือกสกินแคร์ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับสภาพผิว ควบคู่กับการป้องกันรังสียูวีและการปรับพฤติกรรมประจำวัน เมื่อผิวได้รับการดูแลอย่างสมดุล สิวจะค่อย ๆ ลดลง และผิวกลับมาแข็งแรงได้ในที่สุด


👉 ใน Part 4: การรักษาสิวเบื้องต้น เราจะเจาะลึกเรื่องการใช้ยาทา ยากิน และการรักษาที่บ้านอย่างถูกวิธี ว่าอะไรที่ช่วยได้จริงและอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง



วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Part 2 : ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว: เข้าใจต้นเหตุเพื่อดูแลผิวอย่างถูกวิธี


ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว: เข้าใจต้นเหตุเพื่อดูแลผิวอย่างถูกวิธี

สิวเกิดจากอะไร? ทำไมบางคนถึงเป็นสิวขึ้นบ่อยไม่หายสักที ในขณะที่บางคนแทบไม่เคยมีสิวเลย บทความนี้จะพาคุณสำรวจปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิว ทั้งจากภายในร่างกายและจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อให้คุณเข้าใจสาเหตุสิวได้ชัดเจน และหาวิธีจัดการได้ตรงจุด


สิวเกิดจากอะไรบ้าง?

คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ “สิวเกิดจากอะไร” จริง ๆ แล้วสิวไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน เช่น ฮอร์โมน การผลิตน้ำมันส่วนเกิน อาหาร ความเครียด ไปจนถึงสกินแคร์ที่ใช้

ปัจจัยเหล่านี้ทำงานร่วมกัน จึงทำให้สิวขึ้นซ้ำ ๆ หากเราไม่จัดการที่ต้นเหตุ


1. ฮอร์โมนกับสิว (Hormonal Acne)

หนึ่งใน สาเหตุสิวที่พบบ่อย คือ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น

  • วัยรุ่น: ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงสูง ทำให้สิวอุดตันและสิวอักเสบขึ้นง่าย

  • ผู้หญิงวัยทำงาน: มักมี สิวฮอร์โมน ขึ้นช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน

  • ผู้ที่มีความไม่สมดุลของฮอร์โมน: เช่น ภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) ก็เสี่ยงเป็นสิวง่าย


2. อาหารที่กระตุ้นสิว

อาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว แม้จะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่สุด แต่ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้สิวลุกลามได้

  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง (High Glycemic Index): เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่ง ฮอร์โมนอินซูลินสูงขึ้น → กระตุ้นการผลิตไขมันที่ผิวหนัง → เสี่ยงสิวอุดตัน

  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม: มีรายงานวิจัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับสิว โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย

  • อาหารมัน ๆ และฟาสต์ฟู้ด: ไม่ได้ทำให้สิวขึ้นโดยตรง แต่ทำให้ร่างกายอักเสบง่ายขึ้น


3. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

หลายคนอาจเคยสังเกตว่า “เครียดทีไร สิวขึ้นทุกที” นั่นเพราะความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ

เช่นเดียวกับการนอนน้อย เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่พอ ฮอร์โมนเสียสมดุล การซ่อมแซมผิวแย่ลง → สิวขึ้นง่าย


4. การใช้สกินแคร์และเครื่องสำอาง

สกินแคร์และเมคอัพที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย

  • ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือซิลิโคนหนัก ๆ → เกิดสิวอุดตัน

  • การล้างหน้าไม่สะอาด → คราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกสะสม

  • การใช้ผลิตภัณฑ์แรงเกินไป → ผิวแห้งและระคายเคือง → สิวแย่ลง


5. พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์

สิวไม่ได้เกิดจากปัจจัยในร่างกายเท่านั้น แต่ยังมาจาก “พฤติกรรมประจำวัน” ที่เรามักเผลอทำ เช่น

  • จับหน้า / แกะสิว: ทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายและสิวอักเสบหนักขึ้น

  • ใส่หน้ากากอนามัยนาน ๆ: ทำให้เกิดความอับชื้นและเสียดสี → สิวแมสก์ (Maskne)

  • ใช้หมวกกันน็อกหรือโทรศัพท์ที่ไม่สะอาด: สิ่งสกปรกสัมผัสผิวบ่อย ๆ → สิวขึ้นง่าย


6. พันธุกรรมและความแตกต่างเฉพาะบุคคล

บางคนแทบไม่เป็นสิวเลย ขณะที่บางคนสิวขึ้นง่ายมาก ปัจจัยหลัก ๆ มาจาก พันธุกรรม และ โครงสร้างผิว ที่แตกต่างกัน บางคนมีต่อมไขมันขนาดใหญ่ หรือผิวผลัดเซลล์ไม่สมดุล ทำให้เกิดสิวได้ง่ายกว่า


7. สิ่งแวดล้อมและมลภาวะ

ฝุ่น ควัน และมลภาวะในเมืองก็มีส่วนทำให้รูขุมขนอุดตันและผิวอักเสบง่ายขึ้น หากไม่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธีหลังเผชิญมลพิษ สิวก็มักจะโผล่มาได้ง่าย


สรุป: สิวเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน

สิวไม่ใช่โรคที่เกิดจาก “ความสกปรก” เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยหลายด้านเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ ฮอร์โมน อาหาร ความเครียด การนอน การใช้สกินแคร์ ไปจนถึงพฤติกรรมประจำวัน การดูแลสิวอย่างได้ผลจึงต้องจัดการหลายด้านไปพร้อมกัน


👉 ใน Part 3: การดูแลผิวสำหรับคนเป็นสิว เราจะมาพูดถึงหลักการเลือกสกินแคร์ การล้างหน้า และกันแดดสำหรับผิวเป็นสิว เพื่อให้สิวลดลงและผิวแข็งแรงขึ้น

 

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Part 1 : สิวคืออะไร? ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงต้องเจอ

 



สิวคืออะไร? ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงต้องเจอ

สิวคือปัญหาผิวที่หลายคนต้องเจอในช่วงชีวิต บางคนสิวขึ้นเพียงเล็กน้อยแล้วหายไปเอง แต่บางคนกลับเป็นสิวเรื้อรังจนเสียความมั่นใจ แล้วแท้จริงสิวเกิดจากอะไร? ทำไมถึงหลีกเลี่ยงได้ยาก และสิวมีประเภทอะไรบ้าง บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลผิวอย่างถูกวิธี


สิวคืออะไร (Acne Vulgaris)

สิว (Acne) คือโรคผิวหนังที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง โดยมักพบได้ในวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ความจริงแล้วสิวไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจส่งผลต่อ สุขภาพผิว และ สุขภาพใจ ของผู้ที่เป็นสิวได้

การเกิดสิวเริ่มจากการที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิต น้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป ผสมกับ เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน หากมีแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติของผิวหนังอย่าง Cutibacterium acnes (C. acnes) เข้ามามีส่วนร่วม ก็จะทำให้เกิด สิวอักเสบ ที่บวมแดง เจ็บ และอาจทิ้งรอยไว้ภายหลัง


ทำไมสิวจึงเกิดกับคนส่วนใหญ่

หลายคนสงสัยว่า “สิวเกิดจากอะไร” หรือ “สิวคืออะไร ทำไมหนีไม่พ้น” สาเหตุหลัก ๆ มาจากหลายปัจจัยผสมกัน

  1. ฮอร์โมน (Hormonal Changes)

    • ฮอร์โมนแอนโดรเจนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น พบได้ชัดในช่วงวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น รอบเดือน

  2. การผลิตน้ำมันส่วนเกิน

    • เมื่อผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ก็จะผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย

  3. การผลัดเซลล์ผิวไม่สมดุล

    • ปกติผิวจะผลัดเซลล์เก่าออก แต่บางครั้งเซลล์เหล่านั้นไม่หลุดออกอย่างสมบูรณ์ จึงสะสมอยู่ในรูขุมขน

  4. เชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง

    • C. acnes จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้สิวจากการอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ

  5. ปัจจัยด้านพันธุกรรมและวิถีชีวิต

    • คนที่ครอบครัวมีประวัติเป็นสิว มักมีแนวโน้มเป็นสิวได้ง่ายกว่า

    • พฤติกรรม เช่น การนอนน้อย ความเครียด การกินอาหารมัน ๆ หรือหวานจัด ล้วนส่งเสริมให้สิวแย่ลง


ประเภทของสิว (สิวไม่ใช่สิวเหมือนกันทั้งหมด)

เพื่อให้เข้าใจการดูแล เราควรรู้ว่าสิวมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละแบบต้องการวิธีดูแลต่างกัน

  • สิวอุดตัน (Comedonal Acne)

    • สิวหัวขาว (Whiteheads): เกิดจากการอุดตันใต้ผิวหนัง ลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาว

    • สิวหัวดำ (Blackheads): เกิดจากการอุดตันที่เปิดออกมาเจอกับอากาศ จึงมีหัวสีดำ

  • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

    • สิวตุ่มแดง (Papules)

    • สิวหัวหนอง (Pustules)

    • สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ (Cystic Acne) ที่รุนแรงและอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น

  • สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne)

    • มักขึ้นบริเวณคาง กรอบหน้า และเกิดซ้ำ ๆ ตามรอบเดือน

  • สิวจากสิ่งกระตุ้นเฉพาะ (Acne Mechanica / Maskne)

    • สิวที่เกิดจากการเสียดสี เหงื่อ ความร้อน หรือการใส่หน้ากากอนามัยนาน ๆ


ทำไมบางคนแทบไม่เป็นสิวเลย

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ทำไมเพื่อนหน้าใส แต่เราสิวขึ้นบ่อย?” ความแตกต่างนี้มาจาก พันธุกรรม และ สมดุลของร่างกาย บางคนมีผิวที่ปรับสมดุลได้ดีกว่า ต่อมไขมันทำงานไม่มากเกินไป และมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ อีกทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนสำคัญ เช่น

  • นอนหลับเพียงพอ

  • ไม่เครียดสะสม

  • รับประทานอาหารที่ไม่กระตุ้นสิว

  • ดูแลผิวหน้าอย่างอ่อนโยน


ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิว

สิวยังถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ เช่น

  • “สิวเกิดจากความสกปรก” → จริง ๆ แล้วสิวไม่ได้เกิดจากการล้างหน้าไม่สะอาดเพียงอย่างเดียว การล้างหน้ามากเกินไปยังทำให้สิวแย่ลงได้

  • “คนเป็นสิวไม่ควรทาครีมหรือใช้มอยส์เจอไรเซอร์” → ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจะยิ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่ม ทำให้สิวอุดตันหนักขึ้น

  • “สิวหายเองได้ ไม่ต้องดูแล” → บางครั้งสิวอักเสบปล่อยทิ้งไว้จะทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็นหลุมได้


สิวกับผลกระทบทางจิตใจ

นอกจากปัญหาผิว สิวยังส่งผลต่อ ความมั่นใจและคุณภาพชีวิต ของผู้ที่เป็นสิว งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า คนที่มีสิวเรื้อรังมักมีความเครียดและกังวลมากขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม การทำความเข้าใจสิวว่าเป็นเพียง “อาการทางผิวหนังที่รักษาได้” จึงเป็นสิ่งสำคัญ


สรุป: สิวคือก้าวแรกของการเรียนรู้ผิว

สิวไม่ใช่เพียงปัญหาความสวยงาม แต่เป็นภาวะที่เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งฮอร์โมน การผลิตน้ำมันผิว การอุดตัน และเชื้อแบคทีเรีย การเข้าใจว่า สิวคืออะไร และสิวเกิดจากอะไร คือก้าวแรกที่จะช่วยให้เราหาวิธีดูแลได้อย่างถูกต้อง


👉 ใน Part 2: ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว เราจะเจาะลึกกันต่อว่าฮอร์โมน อาหาร พฤติกรรม และสกินแคร์แบบไหนที่ทำให้สิวลุกลาม และเราจะปรับตัวอย่างไรได้บ้าง 



วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2563

5 วิธีเลือกตู้เย็น (เคล็ดลับเลือกตู้เย็นโดนใจ)




5 วิธีเลือกตู้เย็น (เคล็ดลับเลือกตู้เย็นโดนใจ)

ตู้เย็น ถือเป็นไอเท็มชิ้นสำคัญสำหรับบ้านของคุณ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยถนอมอาหาร ทำให้คุณได้อาหารที่สด สะอาด และปลอดภัยจากเชื้อโรคด้วย ดังนั้น การเลือกตู้เย็นที่ดี ย่อมมีส่วนในการช่วยส่งเสริมประโยชน์ทุกข้อที่กล่าวไว้ แต่คำถามคือ แล้วเราจะเลือกตู้เย็นยังไงดี บทความนี้มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากกันค่ะ


เครดิตภาพจาก : Pixabay


1.กำหนดขนาดของตู้เย็นที่จะซื้อก่อน
สิ่งแรกที่ควรทำมากที่สุดคือ การกำหนดขนาดของตู้เย็นเสียก่อนว่าต้องการขนาดที่เท่าไหร่ อย่าเพิ่งตั้งโจทย์ว่าต้องเป็นตู้เย็นเล็กขนาด 5 คิวเสมอไปนะค่ะ เพราะการยัดของทั้งหมดเข้าไปในตู้เย็น โดยไม่ได้มีการแบ่งพื้นให้เหมาะสม เป็นการกินไฟอย่างมาก ดังนั้นประมาณของสัก 75% ของพื้นที่ แล้วกำหนดเป็นขนาดของตู้เย็นออกมา




2.ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น! แต่...
เมื่อเราเลือกซื้อตู้เย็น เชื่อว่าเราต้องมองฉลากเบอร์ 5 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเบอร์ 5 ทั้งหมด จุดแตกต่างคือค่าไฟรายปี ดังนั้นการเลือกตัวเลขที่กินไฟน้อยกว่าย่อมเป็นการดี รวมทั้งถ้าเป็นระบบ Convertor ด้วยจะดีมาก เพราะช่วยลดเรื่องค่าไฟต่ำกว่าที่ฉลากลงได้อีกราว ๆ 5-10%


เครดิตภาพจาก : Pixabay


3.จินตนาการถึงของที่จะบรรจุก่อน
การจินตนการการถึงของที่จะใส่ ย่อมช่วยกำหนดตู้เย็นที่เราต้องการได้มากยิ่งขึ้น บางทีคุณอาจมีตู้น้ำเย็นอยู่แล้ว หรือไม่ชอบกินน้ำแข็งก้อน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราเลือกตู้เย็นที่ไม่ต้องมีช่องเก็บขวดน้ำขนาดใหญ่ หรือที่ทำน้ำแข็งก็ได้


เครดิตภาพจาก : Pixabay


4.ฟังก์ชั่นอาจไม่จำเป็นเสมอไป
ที่กดน้ำนอกตู้อาจดูเก๋ดี หรือระบบลูกล่นเรื่องไฟฟ้าสวย ๆ แต่มันอาจไม่จำเป็นนะค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้เราอาจไม่ได้ใช้ เช่น ที่กดน้ำจากตู้เย็น ถ้าเราดูที่บรรจุน้ำจะเห็นว่าใส่ได้นิดเดียว ซึ่งไม่จำเป็นเลย เราต้องจ่ายเงินเพิ่ม ดังนั้นเน้นไปที่ฟังก์ชั่นการใช้งานเลยจะดีที่สุดค่ะ ยิ่งตัดออกยิ่งประหยัดขึ้น


เครดิตภาพจาก : Pixabay


5.ยี่ห้อจากญี่ปุ่นควรเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคุณ
เมื่อถึงคราวต้องเลือกยี่ห้อ เชื่อว่าจะเลือกไม่ถูกแน่นอน แต่ผู้เขียนมีเคล็ดลับค่ะ โดยให้เลือกจากยี่ห้อญี่ปุ่นก่อน ถ้าไม่เคยใช้เลยก็หลับตาจิ้มนิ้วไปเลย แต่ถ้าเคยใช้ให้เลือกยี่ห้อญี่ปุ่นที่เราใช้ประจำ เช่น โตชิบา หรือ มิตซูบิชิ เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563

ฐานรองเครื่องซักผ้ามีแล้ว...ดียังไง ??


เครดิตภาพจาก : Pixabay

ฐานรองเครื่องซักผ้ามีแล้ว...ดียังไง??

ฐานรองเครื่องซักผ้าน่าจะเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีเครื่องซักผ้า และผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้ถึงคุณประโยชน์ของฐานรองเครื่องซักผ้าว่ามีคุณประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง ดังนั้นเพื่อไขข้อข้องใจของคนจำนวนมาก ผู้เขียนขออนุญาตนำมาสรุปในบทความนี้โดยแบ่งออกมาเป็น 5 ข้อคุณประโยชน์ด้วยกัน ประกอบไปด้วย







1.ช่วยลดอันตรายจากการเคลื่อนย้าย
สิ่งแรกที่ถือเป็นประโยชน์จากการมีฐานรองเครื่องซักผ้า นั่นคือช่วยลดอันตรายที่เราจะเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เครื่องซักผ้าไปตามที่ต่าง ๆ เนื่องจากการมีล้อและการใช้ล้อเป็นตัวเคลื่อนที่ของเครื่องซักผ้านั่นเอง ซึ่งเครื่องซักผ้านั้น ถ้าวัดขนาดน้ำหนักแล้ว ถือว่ามีน้ำหนักมากเช่นกันอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้หากการเคลื่อนย้ายทำได้ไม่ดีพอ








2.เพิ่มความสูงให้เครื่องซักผ้า
การใส่ฐานรองเครื่องซักผ้า จะช่วยเพิ่มความสูงให้กับตัวเครื่องซักผ้าเพิ่มขึ้น  ทำให้เราไม่ต้องเอี้ยวตัวลงไปเพื่อยกผ้าขึ้นมาลดอาการปวดหลังรวมทั้งอาการปวดไหล่ กับคนที่สูงอายุเพิ่มขึ้นด้วย และประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ในข้อนี้อีกประการหนึ่งคือ ป้องกันการที่เด็กเล็กจะปีนเครื่องซักผ้าขึ้นไปเล่น อันอาจก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วย



3.ลดการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
เนื่องจากเครื่องซักผ้าเป็นวัสดุที่สัมผัสกับน้ำอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นเมื่อเราติดตั้งฐานรองเครื่องซักผ้าเข้าไปเท่ากับเป็นการลดโอกาสในการเกิดไฟฟ้าลัดลวงจรครับ  ทำให้เพิ่มความปอดภัยขณะใช้งานเครื่องซักผ้ามากยิ่งขึ้น และทำให้เรารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นในยามที่ต้องเปิดเครื่องซักผ้าทิ้งไว้ และตนเองนอนหลับพักผ่อนในเวลาซักผ้า








4.เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้
อุปกรณ์ฐานรองเครื่องซักผ้าออกแบบมาให้เกิดการใช้งานเครื่องซักผ้าที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น  ดังนั้นในยามที่คุณงีบหลับผู้สูงอายุหรือเด็กเข้ามาใช้งานโปรแกรมก็จะปลอดภัยทุกอย่าง รวมทั้งยังปลอดภัยต่อสัตว์มีพิษที่อาจปีนป่ายเข้าไปในเครื่องซักผ้าและทำความเสียหายให้กับเครื่องได้อีกด้วย

เครดิตภาพจาก : Pixabay

5.ลดค่าใช้จ่ายในการดูแล
ประโยชน์ข้อสุดท้ายคือการลดค่าใช้จ่ายในการดูเครื่องซักผ้าเนื่องมาจากตัวเครื่องซักผ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของการเสี่ยงอย่างเดียวทำให้เราไม่ต้องไปจ่ายเงินเป็นค่าซ่อมจิปาถะและที่สำคัญช่วยยืดอายุการใช้งานไปในตัวอีกด้วย

จะเห็นว่าการมีฐานรองเครื่องซักผ้านั้นมีประโยชน์มากทีเดียวนะครับดังนั้นอย่าปล่อยให้เครื่องซักผ้าที่บ้านของตนเองนั้นปราศจากฐานรองเครื่องซักผ้าโดยเด็ดขาดเพื่อให้คุณไม่พลาดที่จะได้รับประโยชน์ที่มากมายตามรายการข้างต้นค่ะ